ร่างกฎหมายกลายเป็นกฎหมายได้อย่างไร

อัปเดตล่าสุด : 08 ธ.ค. 2566

แนะนำภาพรวม

การออกกฎหมายตามรัฐธรรมนูญ 2560


‘รัฐสภา’ คือผู้รับผิดชอบหลักในการออกกฎหมาย เพราะเป็นตัวแทนของประชาชนในการทำหน้าที่และใช้อำนาจนิติบัญญัติ การออกกฎหมายต้องดำเนินตามกระบวนการที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญ 2560 ซึ่งกฎหมายมีหลายประเภท กฎหมายประเภทหนึ่งอาจมีกระบวนการ ลำดับขั้น หรือเงื่อนไขในการพิจารณาที่แตกต่างไปจากกฎหมายอีกประเภทหนึ่ง ด้วยเหตุเพราะกฎหมายแต่ละประเภทมีลำดับชั้นที่แตกต่างกัน


การกำหนดลำดับชั้นระหว่างกฎหมายประเภทต่าง ๆ มีขึ้นเพื่อให้กฎหมายแม่บท อย่าง ‘รัฐธรรมนูญ’ เป็นตัวกำกับกฎหมายที่อยู่ในลำดับชั้นรองลงมา เช่น พระราชบัญญัติ ซึ่งต้องห้ามขัดหรือแย้งต่อกฎหมายสูงสุดอย่างรัฐธรรมนูญ การพิจารณาบังคับใช้กฎหมายที่อยู่ในลำดับชั้นที่รองลงมาจึงมีกระบวนการบังคับใช้ที่ซับซ้อนน้อยกว่าการแก้ไขหรือการออกกฎหมายตัวแม่บทอย่างการแก้ไขบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ


แม้กฎหมายจะมีหลายชื่อเรียก และมีลำดับชั้นที่หลากหลาย แต่กฎหมายแม่บททั้งหมดล้วนเกิดขึ้นจากกระบวนการการออกกฎหมายโดย ‘รัฐสภา’ เป็นสำคัญ

กฎหมายบังคับใช้ได้อย่างไร


กฎหมายที่ออกโดยรัฐสภา ต้องผ่านกระบวนการ 3 ขั้นตอนสำคัญ

process-step-เสนอร่างกฎหมาย
เสนอร่างกฎหมาย
ผู้มีสิทธิเสนอร่างของกฎหมายแต่ละประเภท จะแตกต่างกัน
process-step-พิจารณาโดยรัฐสภา
พิจารณาโดยรัฐสภา
  • สส.
  • สว.
  • สภาร่วม (สส.+ สว.)
process-step-กลายเป็นกฎหมายโดยสมบูรณ์
กลายเป็นกฎหมายโดยสมบูรณ์
  • ไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ
  • พระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธย
  1. การเสนอร่างกฎหมาย เป็นการจัดทำร่างกฎหมายและเสนอเข้าต่อรัฐสภา โดยผู้ที่มีสิทธิเสนอร่างกฎหมายจะแตกต่างกันขึ้นอยู่กับว่าเป็นร่างกฎหมายประเภทใดตามที่รัฐธรรมนูญระบุไว้ เช่น ร่าง พ.ร.บ. สามารถเสนอโดยคณะรัฐมนตรี หรือ สส. จำนวนไม่น้อยกว่า 20 คน หรือ ประชาชนจำนวน10,000 คน
  2. การพิจารณาร่างกฎหมายโดยรัฐสภา ร่างกฎหมายจะถูกพิจารณาโดยสมาชิกสภาผู้เแทนราษฎร (สส.) และสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ตามลำดับ การพิจารณาของแต่ละสภาจะมี 3 วาระเท่ากัน แต่มีเงื่อนไขและรายละเอียดในการพิจารณาที่แตกต่างกัน ทั้งนี้ ในการพิจารณาร่างกฎหมายบางประเภท จะใช้การประชุมร่วมกันของทั้งสองสภาในการพิจารณา เช่น การพิจารณา ร่าง พ.ร.ป.
  3. ร่างกฎหมายกลายเป็นกฎหมายโดยสมบูรณ์์ เมื่อร่างกฎหมายไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ และพระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธย ตามด้วยการประกาศในราชกิจจานุเบกษาให้มีผลบังคับใช้เป็นกฎหมาย

กฎหมายในเว็บไซต์นี้


เว็บไซต์ Parliament Watch มุ่งนำเสนอกฎหมายที่ผ่านการพิจารณาโดยรัฐสภา เพื่อแสดงให้เห็นถึงกระบวนการทำงานด้านนิติบัญญัติในฐานะตัวแทนประชาชน รวมถึงสะท้อนให้เห็นถึงความคิดเห็นของสมาชิกรัฐสภาต่อประเด็นต่างๆ ในทางกฎหมาย ซึ่งเป็นเครื่องมือในการกำหนดทิศทางของสังคม ทั้งนี้ เว็บไซต์นี้จะไม่ปรากฎกฎหมายที่ถูกตราขึ้นผ่านคณะรัฐมนตรีและไม่ต้องผ่านการพิจารณาโดยรัฐสภา เช่น พระราชกฤษฎีกา กฎกระทรวง และกฎหมายที่ตราโดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

Overview of legislative process

ประเภทของกฎหมายที่ผ่านการพิจารณาโดยรัฐสภา


รัฐสภาประกอบไปด้วยสภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา ทำหน้าที่พิจารณาและกลั่นกรองร่างกฏหมายก่อนการประกาศใช้ ประกอบด้วย

ร่างพระราชบัญญัติ (พรบ.)

กฎหมายโดยทั่วไปจะถูกตราเป็น พ.ร.บ.

เสนอโดย
ครม.
สส. 20 คน
ประชาชน 10,000 คน
พิจารณาโดย
สส.
สว.
บังคับใช้เมื่อรับรองโดย
พระมหากษัตริย์

ขั้นตอน

เมื่อประกาศใช้ พ.ร.ก. แล้ว ในการประชุมรัฐสภาสมัยต่อไป ครม. ต้องเสนอ พ.ร.ก.ที่ประกาศใช้ต่อรัฐสภาเพื่อให้พิจารณาโดยเร็ว ถ้าอยู่นอกสมัยประชุมและประเมินว่าการรอสมัยประชุมสามัญจะเป็นการชักช้า ครม. ต้องเรียกประชุมสมัยวิสามัญเพื่อให้รัฐสภาพิจารณาอนุมัติ การอนุมัติ พ.ร.ก.เป็นกฎหมายนั้น กำหนดว่าหาก ส.ส. ลงคะแนนเสียงไม่ถึงกึ่งหนึ่ง ให้ พ.ร.ก.ฉบับนั้นตกไป แต่ถ้า ส.ส. อนุมัติ แต่ ส.ว.ไม่อนุมัติ แล้ว ส.ส. ยืนยันการอนุมัติด้วยคะแนนเสียงเกินครึ่งหนึ่งของจำนวน สส. ทั้งหมด ก็ให้ พ.ร.ก. มีผลเป็นกฎหมายและประกาศใช้เป็น พ.ร.บ. ต่อไป

เริ่มต้น

ร่างกฎหมายเข้าสภา

ผ่านสภาผู้แทนราษฎร

ผ่านวุฒิสภา

ผ่านศาลรัฐธรรมนูญ (หากมีผู้ร้องเรียน)

พระมหากษัตริย์ลงพระปรมาภิไธย

ประกาศบนราชกิจจานุเบกษา
สำเร็จ

การอนุมัติพระราชกำหนด (พ.ร.ก.)

พ.ร.ก. เป็นกฎหมายที่ ครม. ประกาศใช้ในกรณีฉุกเฉินหรือในสภาวะที่มีความจำเป็น โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการพิจารณาของรัฐสภาในขั้นแรก เป็นเครื่องมือที่ให้อำนาจฝ่ายบริหารในการตรากฎหมาย เป็นอำนาจเฉพาะของรัฐบาลในยามฉุกเฉิน เมื่อประกาศใช้ พ.ร.ก. แล้ว ครม. ต้องเสนอ พ.ร.ก. ที่ประกาศใช้ต่อรัฐสภาเพื่อให้พิจารณาอนุมัติเป็น พ.ร.บ. โดยเร็ว

เสนอโดย
ครม.
พิจารณาโดย
สส.
สว.
บังคับใช้เมื่อรับรองโดย
พระมหากษัตริย์

ขั้นตอน

หลังประกาศใช้ ครม. ต้องเสนอ พ.ร.ก.ที่ประกาศใช้ต่อรัฐสภาเพื่อให้พิจารณา ในการประชุมรัฐสภาสมัยต่อไป ถ้าอยู่นอกสมัยประชุมและประเมินว่าการรอสมัยประชุมสามัญจะเป็นการชักช้า ครม. ต้องเรียกประชุมสมัยวิสามัญเพื่อให้รัฐสภาพิจารณาอนุมัติ การอนุมัติ พ.ร.ก.เป็นกฎหมายนั้น กำหนดว่าหาก ส.ส. ลงคะแนนเสียงไม่ถึงกึ่งหนึ่ง ให้ พ.ร.ก.ฉบับนั้นตกไป แต่ถ้า ส.ส. อนุมัติ แต่ ส.ว.ไม่อนุมัติ แล้ว ส.ส. ยืนยันการอนุมัติด้วยคะแนนเสียงเกินครึ่งหนึ่งของจำนวน สส. ทั้งหมด ก็ให้ พ.ร.ก. มีผลเป็นกฎหมายและประกาศใช้เป็น พ.ร.บ. ต่อไป

เริ่มต้น

ครม. เสนอร่าง พ.ร.ก.

พระมหากษัตริย์ลงพระปรมาภิไธย

บังคับใช้ พ.ร.ก.

ผ่านศาลรัฐธรรมนูญ (หากมีผู้ร้องเรียน)

ผ่านสภาผู้แทนราษฎร

ประกาศใช้เป็น พ.ร.บ. บนราชกิจจานุเบกษา
สำเร็จ

ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ

รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุด การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญจึงมีกระบวนการไว้เป็นการเฉพาะและมีวิธีการแก้ไขที่ซับซ้อน โดยเฉพาะเงื่อนไขที่ต้องมีเสียง ส.ว. 1 ใน 3 หรือ 84 คน และ สส. ฝ่ายค้าน 20% ในจำนวนเสียงครึ่งหนึ่งของสองสภาที่ใช้ลงมติเห็นชอบแก้ไขรัฐธรรมนูญ นอกจากนี้ ยังบังคับให้ทำประชามติถ้าจะแก้ไขในประเด็น บททั่วไป พระมหากษัตริย์ วิธีแก้ไขรัฐธรรมนูญ คุณสมบัตินักการเมือง อำนาจศาลและองค์กรอิสระ อีกทั้ง ยังให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญในการยับยั้งการแก้ไข หากมีสมาชิกรัฐสภาร้องเรียน

เสนอโดย
ครม.
สส. 1 ใน 5
สส. + สว. 1 ใน 5
ประชาชน 50,000 คน
พิจารณาโดย
สภาร่วม (สส.+สว.)
บังคับใช้เมื่อรับรองโดย
พระมหากษัตริย์

ขั้นตอน

เริ่มต้น

ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเข้าสภา

ผ่านประชุมร่วมกันของรัฐสภา (สส.+สว.)

ประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญ (ในประเด็นที่กำหนด)

ผ่านศาลรัฐธรรมนูญ (หากมีผู้ร้องเรียน)

พระมหากษัตริย์ลงพระปรมาภิไธย

ประกาศบนราชกิจจานุเบกษา
สำเร็จ

ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (ร่าง พ.ร.ป.)

พ.ร.ป. เป็นกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญที่ตราขึ้นในรูปแบบ พ.ร.บ. ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของรัฐธรรมนูญที่ทำหน้าที่อธิบายขยายความและกำหนดรายละเอียดสาระสำคัญของเรื่องต่างๆ ในรัฐธรรมนูญตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดเพื่อให้มีความสมบูรณ์ครบถ้วนและชัดเจนยิ่งขึ้น โดยในรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 130 ระบุให้มี พ.ร.ป. ทั้งสิ้น 10 ฉบับ ตัวอย่างเช่น พ.ร.ป ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ร.ป ว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ร.ป. ว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว. เป็นต้น

เสนอโดย
ครม.
สส. 1 ใน 10
พิจารณาโดย
สภาร่วม (สส.+สว.)
บังคับใช้เมื่อรับรองโดย
พระมหากษัตริย์

ขั้นตอน

เริ่มต้น

ร่าง พ.ร.ป. เข้าสภา

ผ่านประชุมร่วมกันของรัฐสภา (สส.+สว.)

รัฐสภาส่งร่าง พ.ร.ป. ให้องค์กรที่เกี่ยวข้องให้ความเห็น

ผ่านศาลรัฐธรรมนูญ (หากมีผู้ร้องเรียน)

พระมหากษัตริย์ลงพระปรมาภิไธย

ประกาศบนราชกิจจานุเบกษา
สำเร็จ

สถานะของกฎหมาย


การจัดแบ่งสถานะของร่างกฎหมายบนเว็บไซต์ Parliament Watch เป็นการจัดแบ่งที่ทีม WeVis กำหนดขึ้นมาเพื่อให้ง่ายต่อการทำความเข้าใจของผู้ใช้ทั่วไป การจัดสถานะของร่างกฎหมายแต่ละฉบับที่ปรากฏบนเว็บไซต์นี้ ไม่ได้เป็นสถานะของร่างกฎหมายอย่างเป็นทางการ

สถานะของกฎหมายในเว็บไซต์นี้ แบ่งได้เป็น 3 ประเภท

กำลังดำเนินการ
จำนวน xxxx ฉบับ
ร่างกฎหมายอยู่ในขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่ง ได้แก่
  • ถูกเสนอเข้าสภา
  • สภาผู้แทนฯ พิจารณาวาระที่ 1, 2, 3
  • วุฒิสภาพิจารณาวาระที่ 1, 2, 3
  • แก้ไขเพิ่มเติมเพื่อพิจารณาใหม่
  • รัฐสภาพิจารณา
ออกเป็นกฎหมาย
จำนวน xxxx ฉบับ
บังคับใช้เมื่อ
  • พระมหากษัตริย์ลงพระปรมาภิไธย
  • ประกาศบนราชกิจจานุเบกษา
ตกไป
จำนวน xxxx ฉบับ
ตัวอย่างสาเหตุที่ทำให้กฎหมายตกไป
  • นายกรัฐมนตรีไม่รับรอง
  • สส. มีมติไม่รับหลักการ
  • สส. มีมติไม่เห็นชอบ
  • สว. ยับยั้ง และ สส. มีมติไม่เห็นชอบ
  • ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญ
ถูกรวมร่าง
จำนวน xxxx ฉบับ
ร่างกฎหมายฉบับหนึ่งสามารถถูกผนวกกับร่างอื่นในรัฐสภา เพื่อพิจารณาออกเป็นกฎหมายบทเดียวกันได้ เมื่อร่างกฎหมายมีวัตถุประสงค์เดียวกัน ซึ่งจะถูกผนวกกับร่างอื่นในชั้นการพิจารณาโดยสภาผู้แทนฯ หรือในสภาร่วม โดยขึ้นอยู่กับว่าเป็นการพิจารณากฎหมายประเภทใด

    ขั้นตอนการออกกฎหมายโดยรัฐสภา

    ขั้นตอนทั่วไป


    ขั้นตอนการพิจารณาร่างกฎหมายแต่ละประเภทจะมีความแตกต่างกันในบางรายละเอียด แต่โดยทั่วไปแล้ว กระบวนการออกกฎหมายโดยรัฐสภา อย่างเช่นการออก พ.ร.บ. หรือการอนุมัติ พ.ร.ก. จะดำเนินการผ่าน 5 ขั้นตอนดังต่อไปนี้

    general-process-process

    1. การเสนอร่างกฎหมาย

    ผู้มีสิทธิเสนอร่างกฎหมาย และลำดับชั้นของกฎหมายที่เสนอได้

    ร่าง พ.ร.บ.ออก พ.ร.ก.ร่าง พ.ร.ป.ร่างแก้ไขบทบัญญัติใน รธน.
    ครม.มีสิทธิเสนอร่างมีสิทธิเสนอร่างมีสิทธิเสนอร่างมีสิทธิเสนอร่าง
    สส.20 คน-สส. ไม่น้อยกว่า 1 ใน 10สส. ไม่น้อยกว่า 1 ใน 5
    สมาชิกรัฐสภา---สส. และ สว. ไม่น้อยกว่า 1 ใน 5
    ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง10,000 คน--50,000 คน

    2. การพิจารณาโดยสภาผู้แทนราษฏร

    เมื่อร่างกฎหมายถูกเสนอเข้าสู่สภาแล้ว จะเข้าสู่ขั้นตอนต่อไปคือการพิจารณาโดย สส. ในขั้นตอนนี้จะแบ่งเป็น 3 วาระ ได้แก่

    2.1. วาระที่หนึ่ง : ขั้นรับหลักการ

    เป็นการพิจารณาหลักการของร่างกฎหมาย ผู้เสนอฯต้องชี้แจงความจำเป็นที่ต้องออกกฎหมายนั้นๆ ในกระบวนการพิจารณา ส.ส. ในสภาจะอภิปรายเหตุผล ถามข้อสงสัยและตั้งข้อสังเกต แล้วจึงขอมติในที่ประชุมว่าจะรับหลักการหรือไม่

    วิธีการพิจารณา

    สส. ในสภาจะอภิปรายเหตุผล ถามข้อสงสัยและตั้งข้อสังเกต
    แล้วจึงขอมติในที่ประชุมว่าจะรับหลักการหรือไม่

    ผลลัพท์
    ผ่าน

    ร่างกฎหมายจะถูกนำไปพิจารณาวาระที่สอง

    ไม่ผ่าน

    ร่างกฎหมายนั้นก็จะตกไปและไม่ถูกพิจารณาต่อ

    2.2. วาระที่สอง : ขั้นกรรมาธิการ

    เป็นการพิจารณาร่างกฎหมายเป็นรายมาตรา อาจเพิ่ม ตัดทอนหรือแก้ไขบางมาตราหรือเปลี่ยนถ้อยคำให้สมบูรณ์ขึ้น แต่ต้องไม่ขัดแย้งกับหลักการของร่างกฎหมายฉบับนั้น

    วิธีการพิจารณา
    • ร่างกฎหมายจะถูกพิจารณาโดย ‘คณะกรรมาธิการสามัญ’ ซึ่งมี สส.
      เป็นกรรมาธิการในการพิจารณาร่างกฎหมายในด้านที่เกี่ยวข้อง
      หรืออาจตั้งขึ้นใหม่เป็นการเฉพาะเรียกว่า ‘คณะกรรมาธิการวิสามัญ’
      ซึ่งบุคคลภายนอกสามารถเข้าร่วมเป็นกรรมาธิการได้
    • ในบางกรณี สภาอาจให้ สส. ทุกคนร่วมพิจารณา เรียกว่า ‘คณะกรรมาธิการเต็มสภา’
    • สส. ที่ไม่เป็นกรรมาธิการสามารถขอแก้ไขเพิ่มเติมร่างกฎหมายได้ โดยเสนอคำขอ ‘แปรญัติ’ ต่อประธานคณะกรรมาธิการภายใน 7 วัน หลังผ่านวาระแรก
      ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับคณะกรรมาธิการว่าจะแก้ไขตามหรือไม่
    • เมื่อคณะกรรมาธิการพิจารณาเสร็จแล้วให้นำร่างกฎหมายเข้าที่ประชุมสภาอีกครั้ง โดย สส.
      ทั้งสภาจะมาอภิปรายร่างกฎหมายตามประเด็นที่มีการแก้ไข
      จากนั้นจะลงมติเห็นชอบโดยใช้เสียงข้างมาก เรียงตามมาตราจนครบ
      จึงให้สภาพิจารณาวาระที่สามต่อไป

    2.3. วาระที่สาม : ขั้นลงมติเห็นชอบ

    เป็นการลงมติเห็นชอบร่างกฎหมายทั้งฉบับ ไม่มีการอภิปรายหรือแก้ไขข้อความใดๆ

    ผลลัพท์
    ผ่าน

    นำไปสู่การพิจารณาของ สว.

    ไม่ผ่าน

    ร่างกฎหมายนั้นเป็นอันตกไป

    3. การพิจารณาร่างกฎหมายโดยวุฒิสภา

    เมื่อ สส. มีมติเห็นชอบ ร่างกฎหมายจะถูกส่งต่อไปยัง สว. โดยการพิจารณาจะมี 3 วาระเช่นเดียวกัน แต่มีเงื่อนไขว่าต้องเสร็จภายในเวลาที่กำหนดไว้

    หากเกินระยะเวลาที่กำหนดจะถือว่าเห็นชอบร่างกฎหมายฉบับนั้น ซึ่งเงื่อนไขถูกระบุไว้ว่า

    • ร่างกฎหมายทั่วไปต้องพิจารณาให้เสร็จภายใน 60 วัน
    • ร่างกฎหมายที่เกี่ยวกับการเงินต้องพิจารณาให้เสร็จภายใน 30 วัน
    • ทั้งนี้ สว.สามารถลงมติขยายเวลาออกไปเป็นกรณีพิเศษได้ไม่เกิน 30 วัน
    ผลลัพท์

    สว. ไม่มีอำนาจ ‘ปัดตก’ หรือทำให้ร่างกฎหมายที่ สส. แล้วหายไปได้ แต่ สว.
    สามารถเพิ่มขั้นตอนในการพิจาณาร่างกฎหมายได้ เมื่อ สว.
    พิจารณาร่างกฎหมายแล้วสามารถลงมติได้ 3 กรณี

    ผ่าน

    เตรียมนำร่างกฎหมายฯ
    เข้าสู่ขั้นตอนประกาศใช้

    แก้ไขเพิ่มเติม

    โดยลงมติ

    ผ่าน

    ให้กับมติที่นำไปสู่การแก้ไขเพิ่มเติม

    • ให้ส่งร่างที่แก้ไขเพิ่มเติมให้ สส. เห็นชอบ หรือตั้ง
      ‘คณะกรรมาธิการร่วม’
      ของสองสภาขึ้นมาพิจารณา โดยต้องมีจำนวน สส. และ สว. เท่ากัน
    • เมื่อกรรมาธิการร่วมพิจารณาร่างกฎหมายเสร็จแล้วให้เสนอต่อทั้งสองสภา
    • ให้ดำเนินขั้นตอนประกาศใช้เป็นกฎหมาย
    • แต่ถ้าสภาใดสภาหนึ่งไม่เห็นชอบ ให้ยับยั้งร่างกฎหมายนั้นไว้ก่อน ซึ่ง สส. อาจยกขึ้นมาพิจารณาใหม่ได้หลัง 180 วัน โดยอาจยืนยันร่างเดิม หรือร่างที่คณะกรรมาธิการร่วมกันพิจารณาก็ได้
    ไม่ผ่าน
    • ให้ "ยับยั้ง" ไว้
    • เมื่อพ้นระยะเวลา 180 วัน สส. สามารถยกร่างกฎหมายฉบับนั้นกลับมาพิจารณาใหม่ได้
    • หาก สส. ยืนยันร่างฯ
      ฉบับเดิมด้วยคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนฯ ให้ถือว่า ร่างฉบับนั้นได้รับความเห็นชอบ และเตรียมประกาศใช้เป็นกฎหมาย

    4. ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยร่างกฎหมาย

    โดยทั่วไป เมื่อร่างกฎหมายได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาแล้ว ก็จะเข้าสู่ขั้นตอนการประกาศใช้ แต่ถ้าหากนายกรัฐมนตรี หรือ สมาชิกไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 ของแต่ละสภาหรือทั้งสองสภารวมกัน เห็นว่าร่างกฎหมายขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ ให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิฉัย

    ผลลัพท์
    ผ่าน

    ถ้าไม่มีข้อความที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ

    แก้ไขเพิ่มเติม

    ถ้ามีข้อความที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ

    ไม่ผ่าน

    ถ้ามีข้อความที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญและเป็นสาระสำคัญของร่าง

    5. การประกาศใช้เป็นกฎหมาย

    เมื่อร่างกฎหมายได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาแล้ว ให้นายกรัฐมนตรีรอไว้ 5 วัน แล้วให้ขึ้นทูลเกล้าเพื่อให้พระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธยภายใน 20 วัน จากนั้นให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาให้มีผลบังคับใช้เป็นกฎหมายได้

    ขั้นตอนพิเศษของกฎหมายบางประเภท


    ในกระบวนการออกกฎหมายหรือแก้กฎหมายบางประเภทจะใช้ ‘การประชุมร่วมกันของรัฐสภา’ หรือ สส. และ สว. ประชุมพิจารณาร่วมกัน และ มีเงื่อนไขเพิ่มเติม ได้แก่

    การพิจารณาร่าง พ.ร.ป.

    ขั้นตอนในการพิจารณาร่าง พ.ร.ป. จะดำเนินในรูปแบบเดียวกันกับการออก พ.ร.บ. เว้นแต่ในเงื่อนไขเพิ่มเติมต่อไปนี้

    Organic law bill consideration
    1. การพิจารณาโดยสภาร่วม (สส.+สว.) ต้องพิจารณา 3 วาระให้เสร็จภายใน 180 วัน
    2. ในวาระที่ 3 ต้องมีคะแนนเสียงเห็นชอบด้วยมากกว่ากึ่งหนึ่งของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของรัฐสภา
    3. เมื่อรัฐสภา ‘เห็นชอบ’ ให้ส่งร่าง พ.ร.ป. ไปยังศาลฎีกา ศาลรัฐธรรมนูญ หรือองค์กรอิสระที่เกี่ยวข้องภายใน 15 วัน เพื่อให้ความเห็น
      • หากไม่มีข้อทักท้วงภายใน 10 วัน ให้รัฐสภาดําเนินการต่อไป
      • มีข้อความขัดต่อรัฐธรรมนูญ ให้เสนอความเห็นไปยังรัฐสภา และให้รัฐสภาประชุมร่วมกันเพื่อพิจารณาให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน โดยสามารถแก้ไขตามที่เห็นสมควร จากนั้นให้รัฐสภาดําเนินการต่อไปในวิธีการเดียวกันกับการตรา พ.ร.บ.

    การแก้ไขบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ

    เมื่อเข้าสู่ขั้นตอนการพิจารณาของรัฐสภา การประชุมร่วมกันจะมีทั้งหมด 3 วาระ เช่นเดียวกันกับการออก พ.ร.บ. แต่ปรากฏเงื่อนไขเพิ่มเติมดังนี้

    Amendment of constitutional provisions
    1. ในวาระที่หนึ่ง ต้องใช้เสียงไม่น้อยกว่าครึ่งหนึ่งของสมาชิกเท่าที่มีอยู่ของสองสภาแล้ว ในจำนวนนี้ต้องได้เสียงเห็นชอบจาก สว. ไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของจำนวน สว. ที่มีอยู่
    2. ในวาระที่สอง การลงมติให้ถือเสียงข้างมากเป็นประมาณ หากเป็นการแก้ไขที่ประชาชนเป็นผู้เสนอ ต้องเปิดโอกาสให้ผู้แทนประชาชนเสนอความคิดเห็นด้วย จากนั้นรอ 15 วัน จึงเข้าวาระที่สาม
    3. ในวาระที่สาม การลงมติ ‘เห็นชอบ’ ต้องประกอบด้วย
      • เสียงเห็นชอบมากกว่าครึ่งหนึ่งของสมาชิกเท่าที่มีอยู่ของสองสภา
      • เสียงเห็นชอบจาก ส.ว. ไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของจำนวน ส.ว.
      • เสียงเห็นชอบ ส.ส. จากพรรคที่ไม่มีสมาชิกเป็นรัฐมนตรี ประธานสภาหรือรองประธานผู้แทนฯ หรือ “ส.ส. ฝ่ายค้าน” ไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 ของทุกพรรคการเมืองดังกล่าวรวมกัน
      เมื่อมีมติเห็นชอบให้รอไว้ 15 วันและนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย
    4. ในกรณีที่มีการแก้ไขเกี่ยวกับ บททั่วไป พระมหากษัตริย์ การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ คุณสมบัติหรือลักษณะต้องห้ามของผู้ดำรงตำแหน่งต่างๆ หรืออำนาจหน้าที่ของศาลหรือองค์กรอิสระ ให้จัดทำประชามติเพื่อเห็นชอบก่อน จึงจะสามารถประกาศใช้ได้
    5. ในระหว่างนี้ สส. หรือ สว. หรือทั้งสองสภารวมกัน จำนวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 สามารถใช้สิทธิเข้าชื่อเสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น เป็นเรื่องเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงการปกครองหรือไม่ หรือเป็นเรื่องที่ต้องทำประชามติก่อนหรือไม่ โดยศาลรัฐธรรมนูญต้องพิจารณาให้เสร็จภายใน 30 วันนับจากวันที่ได้รับเรื่อง โดยในระหว่างนี้ นายกฯ จะนำร่างฯ ขึ้นทูลเกล้าฯ ไม่ได้

    เข้าใจการลงมติของ สส. และ สว.

    การลงมติคืออะไร เกิดขึ้นในขั้นตอนไหนบ้าง ?


    การลงมติ เป็นส่วนหนึ่งของการประชุมสภา ใช้ในกระบวนการพิจารณาเรื่องต่างๆ ทั้งในสภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา เช่น การพิจารณาญัตติ, การเสนอและพิจารณาร่างกฎหมาย, การพิจารณาให้ความเห็นชอบนายกรัฐมนตรี, การพิจารณาในขั้นกรรมาธิการ เป็นต้น โดยมติของสภาจะกระทำโดยการออกเสียงลงคะแนน ตามวิธีการที่กำหนดไว้ในข้อบังคับการประชุม สมาชิกรัฐสภาหนึ่งคนมีสิทธิออกเสียงได้หนึ่งเสียง และมติของสภาให้เป็นไปตามเสียงข้างมาก เพื่อให้ได้ข้อยุติของปัญหาและเพื่อให้ได้แนวทางที่สภาจะต้องดำเนินการต่อไป

    วิธีการลงมติ


    การลงมติในสภากระทำผ่านการออกเสียงลงคะแนน ซึ่งแบ่งเป็น 2 กรณี

    1. การออกเสียงลงคะแนนเปิดเผย

    การลงคะแนนเสียงด้วยวาจา

    การลงคะแนนเสียงด้วยวาจา

    ผ่านการเรียกชื่อสมาชิกตามหมายเลขประจำตัว เช่น การโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี

    การใช้เครื่องลงคะแนนเสียง

    การใช้เครื่องลงคะแนนเสียง

    เพื่อลงมติเห็นด้วยหรือไม่ต่อประเด็นต่างๆ

    2. การออกเสียงลงคะแนนลับ

    การทำเครื่องหมายบนแผ่นกระดาษ

    การทำเครื่องหมายบนแผ่นกระดาษ

    ใส่ซองที่เจ้าหน้าที่จัดให้

    การใช้เครื่องลงคะแนนเสียง

    การใช้เครื่องลงคะแนนเสียง

    ตามที่ประชุมกำหนด

    เกณฑ์ในการเลือกวิธีการลงมติ ตามข้อบังคับการประชุมสภา

    ที่ประชุมสภาผู้แทนฯ หรือที่ประชุมวุฒิสภา

    • การออกเสียงลงคะแนนให้กระทำเป็นการเปิดเผย
    • ถ้ามีสมาชิกเสนอญัตติโดยมีผู้รับรองไม่น้อยกว่า 20 คนของสภานั้นๆ ขอให้กระทำเป็นการลับ จึงให้ลงคะแนนลับ
    • แต่ถ้ามีผู้คัดค้านและมีผู้รับรองไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของสมาชิกในที่ประชุม ให้ถือเป็นเอกสิทธิ์ที่จะลงคะแนนโดยเปิดเผย

    ประชุมสภาร่วม

    • การออกเสียงลงคะแนนให้กระทำเป็นการเปิดเผย
    • ถ้าคณะรัฐมนตรีร้องขอ หรือสมาชิกรัฐสภาเสนอญัตติโดยมีสมาชิกรับรองไม่น้อยกว่า 40 คนขอให้กระทำเป็นการลับ จึงให้ลงคะแนนลับ
    • แต่ถ้ามีสมาชิกคัดค้านและมีผู้รับรองไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของสมาชิกรัฐสภาในที่ประชุมให้ถือเป็นเอกสิทธิ์ที่จะลงคะแนนโดยเปิดเผย

    ประเภทการลงมติ


    โดยทั่วไป การประชุมจะกำหนดให้ สส. และ สว. แสดงเจตจำนงต่อประเด็นที่ใช้ลงมติดังนี้

    เห็นด้วย
    ไม่เห็นด้วย
    งดออกเสียง

    หาก สส. หรือ สว. ไม่ได้แสดงเจตจำนงด้วยเหตุผลด้านการขาดการประชุมหรือไม่ได้ลงคะแนนเสียง ลักษณะของการออกคะแนนเสียงจะเป็นใน 2 รูปแบบคือ

    ไม่ลงคะแนน
    • สมาชิกอยู่ในองค์ประชุม แต่ไม่ลงมติ
    • จะถูกนับเป็นองค์ประชุม และถูกคำนวณในคะแนนเสียงของมติ
    ลา/ขาดลงมติ
    • สมาชิกไม่ได้เข้าประชุม
    • จะไม่ถูกนับเป็นองค์ประชุม

    ผลการลงมติ


    การลงมติที่เกี่ยวข้องกับนิติบัญญัติและญัตติต่างๆ ในสภา เช่น การโหวตรับร่างกฎหมายเข้าสภา การโหวตอนุมัติ พ.ร.ก. การพิจารณาญัตติ เป็นต้น จะใช้เสียงข้างมากของที่ประชุมของแต่ละสภา หรือตามข้อกำหนดที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญหรือข้อบังคับการประชุม ซึ่งโดยทั่วไปจะมีผลการลงมติ ดังนี้

    ผ่าน
    ไม่ผ่าน

    การลงมติในรูปแบบอื่นๆ ที่ต้องให้ความเห็นชอบบุคคล หากมีผู้ถูกเสนอชื่อมากกว่า 2 คนขึ้นไป เช่น มติการเลือกนายกรัฐมนตรี มติเลือกประธาน/รองประธานสภาฯ จะมีผลการลงมติเป็นการรับรองผู้ที่ได้รับการโหวตมากที่สุด

    บุคคลที่ได้รับการโหวตมากที่สุด

    ส.ส. และ ส.ว. ทำอะไรบ้างในสภา

    หน้าที่ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฏร (สส.)


    1. เสนอร่างกฎหมาย

    • สส. จำนวน 20 คน สามารถเสนอร่าง พ.ร.บ.
    • สส. จำนวน 1 ใน 5 เสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ
    • สส. จำนวน 1 ใน 10 สามารถเสนอร่าง พ.ร.ป.

    2. พิจารณาร่างกฎหมาย (พ.ร.บ.)

    • ลงมติรับร่างกฎหมายเข้าสภา
    • พิจารณาร่างกฎหมายเป็นรายมาตราในชั้นกรรมาธิการ
    • ลงมติเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบร่างกฎหมาย
    • ยืนยันออกร่าง พ.ร.บ. ที่ สว. ไม่อนุมัติ

    3. อนุมัติ พ.ร.ก. หรือกฎหมายฉุกเฉินที่ออกโดย ครม. ให้เป็นกฎหมาย

    • ลงมติเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบ พ.ร.ก.
    • เสนอต่อประธานสภาฯ เพื่อให้ประธานสภาฯ ส่งเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย และให้ชะลอ พ.ร.ก.ไว้ก่อน
    • อนุมัติ พ.ร.ก. หรือกฎหมายฉุกเฉินที่ออกโดย ครม. ให้เป็นกฎหมาย

    4. ดำเนินกิจการสภา

    • ศึกษาและพิจารณาข้อกฎหมายในคณะกรรมาธิการสามัญประจำสภา
    • พิจารณาศึกษาและสอบสวนกรณีต่างๆ เมื่อมีการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญเป็นการเฉพาะ
    • เลือก สส. เป็นกรรมาธิการคณะกรรมาธิการสามัญ
    • เลือก สส.หรือผู้ที่ไม่ได้เป็น สส. ตั้งเป็นคณะกรรมาธิการวิสามัญ เพื่อศึกษาเรื่องใดๆ และรายงานให้สภาทราบตามระยะเวลาที่สภากําหนด

    5. ลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี

    • เสนอชื่อผู้ที่สมควรดำรงตำแหน่งเป็นนายกฯ
    • ลงมติเลือกนายกฯ

    หน้าที่ของสมาชิกวุฒิสภา (สว.)


    1. พิจารณาร่างกฎหมาย (พ.ร.บ.)

    • กลั่นกลองและให้ความเห็นร่างกฎหมายที่ สส. เห็นชอบ
    • ยับยั้งร่างกฎหมายเพื่อส่งให้ สส. พิจารณาอีกครั้ง

    2. อนุมัติ พ.ร.ก. หรือกฎหมายฉุกเฉินที่ออกโดย ครม. ให้เป็นกฎหมาย

    • ลงมติเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบ พ.ร.ก.
    • เสนอต่อประธานสภาฯ เพื่อให้ประธานสภาฯ ส่งเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย และให้ชะลอ พ.ร.ก.ไว้ก่อน

    3. ควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน

    • ตั้งกระทู้ถามรัฐมนตรีเกี่ยวกับงานในหน้าที่ในรูปแบบเป็นหนังสือหรือด้วยวาจา และสามารถตั้งกระทู้ถามด้วยวาจาโดยไม่ต้องแจ้งล่วงหน้า
    • ตรวจสอบและเร่งรัดให้รัฐบาลดำเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ
    • ยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยชี้ขาดกรณีรัฐบาลไม่ดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ชาติ

    4. ดำเนินกิจการสภา

    • เลือก สว. เป็นกรรมาธิการคณะกรรมาธิการสามัญ
    • เลือก สว.หรือผู้ที่ไม่ได้เป็น สว. ตั้งเป็นคณะกรรมาธิการวิสามัญ เพื่อศึกษาเรื่องใดๆ และรายงานให้สภาทราบตามระยะเวลาที่สภากําหนด

    5. แต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรตามรัฐธรรมนูญ

    • ลงมติเห็นชอบผู้ที่ดำรงตำแหน่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
    • พิจารณาแต่งตั้งบุคคลในองค์กรอิสระ ได้แก่ ป.ป.ช., ก.ก.ต., ผู้ตรวจการแผ่นดิน, คณะกรรมการผู้ตรวจเงินแผ่นดิน

    หน้าที่ของสภาร่วม (ส.ส. + ส.ว.)


    รัฐสภาจะประชุมร่วมกันได้ต้องเป็นไปตามที่กำหนดไว้ในมาตรา

    1. ด้านนิติบัญญัติ (การตรากฎหมาย)

    • พิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.)
    • ปรึกษาร่าง พ.ร.ป. หรือร่าง พ.ร.บ.ใหม่
    • พิจารณาให้ความเห็นชอบตามที่ ครม. ร้องขอ
    • ตราข้อบังคับการประชุมรัฐสภา
    • แก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ

    2. ด้านการบริหารราชการแผ่นดิน

    • ประชุมร่วมกันของรัฐสภา
    • รับฟังคำแถลงนโยบายของ ครม.
    • เปิดอภิปรายทั่วไปในที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา

    3. ด้านการประชุมรัฐสภา

    • เปิดประชุมรัฐสภาครั้งแรก
    • ให้ความเห็นชอบในการปิดสมัยประชุม
    • ตราข้อบังคับการประชุมรัฐสภา

    4. ด้านการให้ความเห็นชอบ

    • ให้ความเห็นชอบในการประกาศสงคราม
    • รับฟังคำชี้แจงและให้ความเห็นชอบหนังสือสัญญาที่มีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขต อำนาจอธิปไตย หรือกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ สังคม หรือการค้าของประเทศอย่างกว้างขวาง

    5. กรณีตามบทเฉพาะกาล

    • ลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี ตามมาตรา 272 (5 ปีแรกของรัฐสภาชุดแรก)
    • พิจารณาร่าง พ.ร.บ. ที่ตราขึ้นตามหมวด 16 การปฏิรูปประเทศ
    • พิจารณาร่าง พ.ร.บ. ที่ สว. หรือ สส. ยับยั้งไว้ตามมาตรา 271

    6. ด้านหมวดพระมหากษัตริย์

    • ให้ความเห็นชอบในการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
    • รับทราบการปฏิญาณตนของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ต่อรัฐสภา
    • รับทราบการแก้ไขเพิ่มเติมกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์พระพุทธศักราช 2467
    • รับทราบหรือให้ความเห็นชอบในการสืบราชสมบัติ

    เว็บไซต์นี้สร้างโดย
    ซึ่งเป็น… เริ่มสร้างเว็บไซต์นี้โดยมีจุดประสงค์เพื่อ… และได้รับการสนับสนุนจาก….
    ความถูกต้องและการอ้างอิงข้อมูลในเว็บไซต์
    (พารากราฟสั้นๆ อธิบายประเด็นต่อไปนี้) ข้อมูลในเว็บไซต์นี้เรารวบรวมจาก… โดยได้รวบรวมและอัปเดทข้อมูลเมื่อ(หรือทุกๆ)…ข้อมูลอาจมีความคลาดเคลื่อน ซึ่งเป็นไปได้ว่าเกิดจาก…หากคุณต้องการนำข้อมูลไปใช้ในงานของคุณเราแนะนำให้คุณ….หรือหากมีข้อสงสัยว่าข้อมูลไม่ถูกต้อง กรุณาติดต่อ …. WeVis ซึ่งเป็น… เริ่มสร้างเว็บไซต์นี้โดยมีจุดประสงค์เพื่อ… และได้รับการสนันบสนุนจาก….
    Open Source License
    (not final content) This website and its projects are open source. You're free to use, modify, and share everything here. Attribution is appreciated but not required. Details in the project-specific licenses. Link
    ©Parliament Watch 2023
    นโยบายความปลอดภัย | Privacy Policy